「ทฤษฎีดนตรี」คืออะไร? เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักดนตรีหรือไม่?
ผมขอเริ่มจากการตอบคำถามที่สองก่อนเลยแล้วกันนะครับ ก่อนที่จะเข้าเนื้อหาหลักของบทความนี้
ทฤษฎีดนตรีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักดนตรีหรือไม่?
คำตอบคือ “จำเป็น” สำหรับบางคน และ “ไม่จำเป็น” สำหรับบางคนครับ
ใช่แล้ว มันไม่ได้จำเป็นสำหรับนักดนตรีทุกคนครับ
ทฤษฎีดนตรี คืออะไร?
ก่อนอื่นต้องขออธิบายไว้ก่อนว่า ทฤษฎีดนตรีนั้น ไม่ใช่กฎเกณฑ์ข้อบังคับหรือระเบียบที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดอย่างที่บางคนเข้าใจ ลองมาดูความหมายของคำว่า “ทฤษฎี” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานครับ
[ทฺริดสะดี] น. ความเห็น; การเห็น, การเห็นด้วยใจ; ลักษณะที่คิดคาดเอาตามหลักวิชา เพื่อเสริมเหตุผลและรากฐานให้แก่ปรากฏการณ์หรือข้อมูลในภาคปฏิบัติ ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างมีระเบียบ. (ส.; ป. ทิฏฺฐิ).
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒. (กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชันส์, 2561), 504-505.
[ทฺริดสะดี] น. หลักการทางวิชาการที่ได้ข้อสรุปมาจากการค้นคว้าทดลองเป็นต้น เพื่อเสริมเหตุผลและรากฐานให้แก่ปรากฏการณ์หรือข้อมูลในภาคปฏิบัติ เช่น ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก ทฤษฎีแสง. (ส.; ป. ทิฏฺฐิ).
“ทฤษฎี,” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, เข้าถึงเมื่อ 7 พ.ค., 2564, https://dictionary.orst.go.th.
เมื่อดูตามความหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า “ทฤษฎี” นั้นเป็นสิ่งที่เกิดตามขึ้นมาภายหลัง เพื่ออธิบายปรากฏการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างมีระเบียบ ตัวทฤษฎีเองนั้นไม่ได้เป็นระเบียบกฎเกณฑ์ข้อบังคับแต่อย่างใด
ดังนั้น ทฤษฎีดนตรี ก็คือหลักการที่ได้ข้อสรุปมาจากการค้นคว้าทดลอง (การวิเคราะห์) บทประพันธ์เพลงต่าง ๆ ในอดีตที่มีจุดร่วมบางอย่างที่เกิดขึ้นมาอย่างมีระเบียบ (ซึ่งระเบียบในที่นี้ อาจเกิดจากการที่นักประพันธ์ทำตาม ๆ กัน เลียนแบบ หรือเป็นรสนิยมลักษณะดนตรีในยุคนั้น ๆ มีหลายปัจจัย แต่ทั้งหมดก็กลายเป็นระเบียบบางอย่างขึ้นมา) เพื่ออธิบายที่มาที่ไปนั่นเอง
และทั้งหมดนี้ คือคำจำกัดความของคำว่า “ทฤษฎีดนตรี” ที่แท้จริงในความเห็นของผมครับ ไม่ใช่ทฤษฎีดนตรีคือมีโน้ตบรรทัดห้าเส้น มีกุญแจเสียง มีโน้ตตัวดำ ตัวขาว ตัวกลม และเพราะอันที่จริงแล้ว ทฤษฎีดนตรีไม่ได้มีเพียงทฤษฎีเดียวครับ
ทฤษฎีตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิม (Common practice / Traditional harmony)
อย่างไรก็ดี คำว่า “ทฤษฎีดนตรี” ในบริบททั่วไปที่เราพูดถึงกันอยู่ในปัจจุบันนี้ คือทฤษฎีดนตรีตะวันตกที่เรียกว่า”ทฤษฎีตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิม” หรือภาษาอังกฤษคือ “Common practice หรือ Traditional harmony” ครับ (ต่อไปในบทความนี้ผมขอเรียกว่า Common practice แล้วกันนะครับ) โดยเป็นทฤษฎีดนตรีของดนตรีระบบโทนัล (Tonal music) ที่เป็นระบบที่อิงกุญแจเสียง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของบันไดเสียงเมเจอร์-ไมเนอร์ ให้ความสำคัญกับศูนย์กลางเสียง และมีการเคลื่อนที่ของทำนองทั้งแนวนอนและแนวตั้งซึ่งก็คือมีแนวเสียงประสานอันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับดนตรีตะวันตก ซึ่งดนตรีโทนัลเป็นระบบดนตรีที่คนยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นนักดนตรีหรือผู้ฟังเพลงทั่วไปคุ้นเคยที่สุด เพราะเพลงป๊อปทั่วไปที่เราฟังกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพลงที่อยู่ในระบบโทนัลเป็นส่วนใหญ่นั่นเอง ตั้งแต่เด็กจนโต หูของคนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับระบบดนตรีประเภทนี้ครับ
ระบบนี้เริ่มมีความชัดเจนตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 19 ต่อมาศตวรรษที่ 20 เริ่มมีแนวคิดใหม่สำหรับระบบดนตรีทำให้โทแนลิตีคลุมเครือ ส่วนก่อนหน้านั้นยุคเรอเนซองซ์ใช้ระบบดนตรีที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กรอบของบันไดเสียง[เมเจอร์-ไมเนอร์] แต่เป็นการให้ความสำคัญกับระบบโมด และความสัมพันธ์ด้านขั้นคู่เสียง
วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น, ดนตรีศตวรรษที่ 20 : แนวคิดพื้นฐานทฤษฎีเซต, (กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, 2559), 1.
ระบบดนตรีเองก็ไม่ได้มีระบบเดียว ดังนั้น Common practice จึงไม่สามารถนำมาใช้อธิบายดนตรีได้ทุกระบบ แต่ก็มีประเด็นหลายอย่างที่เราสามารถศึกษาได้จาก Common practice และจำเป็นที่จะต้องศึกษาด้วย
ตัวอย่างทฤษฎีดนตรีต่าง ๆ
อันนี้ขอไม่อธิบายอะไรมากนะครับ เพียงแต่จะขอยกตัวอย่างทฤษฎีดนตรีต่าง ๆ ให้เห็นพอสังเขปว่ามีอะไรบ้าง ถ้าสนใจก็ลองนำไปเสิชดูนะครับ
・ทฤษฎีแจ๊ส | Jazz Theory
ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่มีไว้ศึกษาดนตรีแจ๊สซึ่งก็เป็นดนตรีที่มีลักษณะอยู่ในระบบโทนัลเช่นกัน นอกจากแจ๊สแล้วก็ยังสามารถนำไปใช้กับดนตรีป๊อปได้ดี หรือรวมถึงดนตรีแนวอื่น ๆ ด้วย เช่น Funk, R&B, Blues (ซึ่งดนตรีเหล่านี้ก็มีความสัมพันธ์กับดนตรีแจ๊สด้วย) ทฤษฎีดนตรีแจ๊สนั้นหลายอย่างมีฐานและประยุกต์พัฒนามาจาก Common practice จนมีหลายคนที่นำ Common practice กับทฤษฎีดนตรีแจ๊สที่ประยุกต์พัฒนามาจาก Common practice อีกทีมาปะปนกัน จนเข้าใจว่าเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้ ส่วนที่เป็นเรื่องเดียวกันก็มี และก็มีส่วนที่แตกต่างกันไปในรายละเอียด ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด ซึ่งถ้าในแง่ของการนำไปใช้สำหรับนักดนตรีหรือนักประพันธ์ก็อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะต้องเข้าใจความแตกต่างทั้งหมด แต่ก็เป็นประเด็นสำคัญที่ควรต้องหาข้อมูลและแยกแยะส่วนที่แตกต่างกันให้ออกสำหรับผู้ศึกษา ผู้สอน นักวิเคราะห์ นักทฤษฎี เป็นต้น
・ทฤษฎีของเชงเคอร์ (การวิเคราะห์ของเชงเคอร์) | Schenker’s theory (Schenkerian analysis)
ทฤษฎีนี้เป็นแนวคิดการวิเคราะห์ดนตรีที่คิดโดย Heinrich Schenker (1868–1935)
โดยแนวคิดการวิเคราะห์ดนตรีของเชงเคอร์คือ ดนตรีในระบบอิงกุญแจเสียงมีพื้นฐานด้านโครงสร้างแนวคิดการประพันธ์ที่ไม่แตกต่างกัน ท้ังโครงสร้างทำนองหรือแนวเสียงหลัก (Structural Line) และโครงสร้างเสียงประสานหรือเสียงประสานหลัก (Structural Harmony) เชงเคอร์ได้ใช้ กระบวนการลดรูป (Reduction Process) โน้ตดนตรี ด้วยวิธีการต่างๆ ที่เขาเป็นผู้ออกแบบ ในการ วิเคราะห์แบบโครงหลัก (Structural Analysis) เพื่อให้เห็นถึงโครงสร้างในระดับชั้นต่างๆ ของตัวดนตรี คือ โครงสร้างระดับตื้น (Foreground) โครงสร้างระดับกลาง (Middleground) และโครงสร้างระดับลึก (Background)
วุฒินันท์ เลาหรัตนเวทย์ และวิบูลย์ ตระกูลฮุ้น, “การวิเคราะห์บทเพลงมาธิลดาโซนาตา ของริคาร์ด วากเนอร์ ตามหลักการวิเคราะห์ของเชงเคอร์,” วารสารดนตรีรังสิต มหาวิทยาลัยรังสิต 12, 1 (2560): 117.
・ทฤษฏีนีโอรีมันเนียน | Neo-riemannian theory
ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่เหมาะกับการนำไปวิเคราะห์ดนตรียุคปลายศตวรรษที่ 19 ที่เป็นดนตรีในระบบโทนัลเช่นกัน เพียงแต่มีเรื่องความสันพันธ์ของคอร์ดระหว่างเมเจอร์กับไมเนอร์เข้ามา สามารถนำไปอธิบายเพลงที่มีการเคลื่อนที่ของคอร์ดที่ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิม (Traditional harmony)
・ทฤษฎีเซต | Set theory
ทฤษฎีนี้เป็นแนวคิดสำหรับอธิบายดนตรีที่เป็นระบบเอโทนัลซึ่งไม่ได้อิงเรื่องกุญแจเสียงหรือให้ความสำคัญกับศูนย์กลางเสียงอย่างดนตรีระบบโทนัล
ทั่วไปแล้วทฤษฎีเซตมีประโยชน์อย่างมากสำหรับใช้อธิบายดนตรีเอโทนัลแบบอิสระ (Free-Atonal) ซึ่งเป็นมุมมองใหม่สำหรับการพิจารณาความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในบทประพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิติที่เกี่ยวข้องกับระดับเสียง
วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น, ดนตรีศตวรรษที่ 20 : แนวคิดพื้นฐานทฤษฎีเซต, (กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, 2559), 31.
ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างจำนวนนึงเท่านั้น ยิ่งเราศึกษามากเท่าใด รู้จักทฤษฎีดนตรีมากขึ้นเท่าไหร่ ก็สามารถวิเคราะห์ดนตรีระบบต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น สามารถที่จะเลือกทฤษฎีที่เหมาะสมกับดนตรีระบบนั้น ๆ ประเภทนั้น ๆ ได้นั่นเอง
การศึกษาทฤษฎีดนตรี
ด้วยเนื้อหาที่กล่าวมา การศึกษาทฤษฎีดนตรีในภาพกว้าง จึงหมายถึงการทำความเข้าใจในสิ่งที่นักดนตรี นักประพันธ์รุ่นก่อนปฏิบัติตามกันมา หรือรวมถึงแนวคิดที่คิดค้นโดยนักทฤษฎี และเราก็สามารถใช้ตรงนี้เป็นรากฐานในการที่จะพัฒนาต่อ ประยุกต์ ปรับปรุง นั่นก็คือนำไปต่อยอดได้นั่นเอง หากการพัฒนาของเรานั้นต่อยอดไปสู่การประพันธ์เพลงหรือการวิเคราะห์เพลงด้วยวิธีการใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และวิธีการนั้นเริ่มได้รับความนิยมในคนหมู่มาก คนอื่น ๆ เริ่มทำตามกัน วิธีการของเรานั้นก็อาจถูกใครบางคนในอนาคตศึกษาและสรุปเป็นทฤษฎีดนตรีแบบใหม่ก็เป็นได้
ต้องยอมรับว่าหลายคนก็ใช้วิธีครูพักลักจำเพียงอย่างเดียว ศึกษาจากการเลียนแบบคนอื่นก่อนแล้วเริ่มจัดระเบียบบางอย่างให้ตัวเอง ใช้สัญชาติญาณของตัวเอง จนบรรเลงดนตรีได้เก่งก็มี ประพันธ์เพลงได้เพราะก็มี จนประสบความสำเร็จในเส้นทางดนตรีก็มีไม่น้อย แต่ในความเห็นของผมคือหากอยู่ในเส้นทางดนตรีด้วยวิธีการนี้ ผู้นั้นก็มีโอกาสที่จะจำกัดอยู่แต่ในรูปแบบเดิม ๆ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ประการใดถ้าเป็นความพึงพอใจของผู้นั้น แต่หากต้องการที่จะพัฒนาสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ การศึกษาทฤษฎีดนตรีก็จะเป็นทางลัดที่ช่วยให้เราเรียนรู้อะไร ๆ ได้เร็วขึ้น เข้าใจที่มาที่ไป ความเป็นมาเป็นไปของสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เมื่อเราเข้าใจ ก็จะสามารถพัฒนาหรือประยุกต์ได้ง่าย
ขอย้ำว่า ทฤษฎีดนตรีไม่ใช่กฎเกณฑ์ข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม หากทุกคนบนโลกประพันธ์เพลงทุกเพลงโดยใช้กฎแบบเดียวกัน เพลงที่ออกมาก็คงจะเป็นเพลงแบบเดียวกัน ฟังเหมือน ๆ กันไปเสียหมด ไม่มีการสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การศึกษาทฤษฎีดนตรีตามบริบททั่วไปในปัจจุบัน หรือทฤษฎีดนตรีที่เรียกว่า Common practice ของดนตรีระบบโทนัลนั้นก็ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการต่อยอดให้เราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดีและรวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะในทางปฏิบัติ ทั้งการบรรเลง การประพันธ์ หรือในการศึกษาทฤษฎีอื่น ๆ ต่อไป เพราะแม้เราไม่สามารถนำ Common practice มาใช้อธิบายดนตรีได้ทุกระบบทุกประเภทก็จริง แต่ก็มีประเด็นหลายอย่างที่เราสามารถศึกษาได้จาก Common practice และจำเป็นที่จะต้องศึกษาด้วย ตั้งแต่ประเด็นเล็กไปจนถึงประเด็นใหญ่ เช่น การบันทึกโน้ต องค์ประกอบพื้นฐานของจังหวะ บันไดเสียงต่าง ๆ คอร์ด และประเด็นเหล่านี้ที่ยกมาก็ถือเป็นฐาน เป็นเรื่องทั่วไป ที่ถูกนำไปใช้ในดนตรีระบบอื่น และพบในทฤษฎีดนตรีอื่นด้วย โดยที่เห็นภาพได้ชัดเจนก็น่าจะเป็นเรื่องของการบันทึกโน้ต เช่น โน้ตตัวดำ โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าจะไปเป็นดนตรีระบบใด หรือทฤษฎีใด โน้ตตัวดำก็มีค่าเท่ากับโน้ตตัวดำ พอเข้าใจไหมครับ ซึ่งเรื่องพวกนี้กลายเป็นเหมือนเรื่องพื้นฐานทั่วไปแล้ว นี่แหละครับคือ Common practice
การศึกษาทฤษฎีดนตรีจึงจำเป็นต้องเริ่มจากการศึกษา Common practice ให้ดีเสียก่อน เพราะเราสามารถเรียนรู้เรื่องทั่วไปได้จากตรงนี้ครับ
แล้วตกลงจำเป็นต้องศึกษามั้ย?
ตัวผมเองเริ่มเล่นดนตรีจากการที่ยังไม่รู้ทฤษฎีดี เริ่มแต่งเพลงตั้งแต่ตอนจับคอร์ดกีตาร์ได้เป็นครั้งแรกโดยที่ยังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของคอร์ด รู้แต่ว่าคอร์ด C จับแบบนี้ คอร์ด Am จับแบบนี้ แต่งมั่ว ๆ บางทีก็ออกมาเพราะ ผมก็เริ่มเรียนรู้ว่าทำแบบนี้มันจะออกมาเพราะ แต่ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันคืออะไร? เคยเป็นไหมครับ? มันออกมาดูดี แต่เราอธิบายไม่ได้ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น ไม่รู้ว่าอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนเพลงของเราให้ออกมาเป็นแบบนั้น ซึ่งทุกวันนี้ผมเริ่มศึกษาทฤษฎีดนตรีมากขึ้น จนเริ่มอธิบายสิ่งที่ตัวเองได้ทำไว้ในอดีตได้ ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับที่เราเข้าใจสิ่งที่เราทำอยู่ว่ามันคืออะไร ผมว่ามันช่วยให้เรามีฐานในการทำอะไรต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดังนั้น จะจำเปนหรือไม่จำเป็นนั้น อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจส่วนบุคคลแล้วล่ะครับ เราคงต้องแยกประเด็นก่อนว่าความสัมพันธ์ของ ดนตรี ที่มีต่อ ตัวเรา นั้นคืออะไร จะเรียกว่าเป็นเป้าหมายในเส้นทางดนตรีของเราก็ได้ครับ เช่นว่าเราอยากเป็นแค่นักดนตรีที่เล่นดนตรีเท่านั้น แล้วเราอยากเข้าใจสิ่งที่ตัวเองเล่นอยู่มั้ย หรือไม่ต้องเข้าใจก็ได้ อยากเรียนรู้แบบรู้ที่มาที่ไป หรืออยากเรียนรู้แบบใช้วิธีจำเอาอย่างเดียว อยากเป็นนักประพันธ์เพลงด้วยมั้ย หรืออยากวิเคราะห์งานต่าง ๆ อยากเป็นนักวิชาการทางดนตรีด้วยหรือเปล่า (ซึ่งถ้าจะเป็นนักวิเคราะห์ การศึกษาทฤษฎีก็น่าจะเป็นเรื่องจำเป็นสุด ๆ นะ) นี่แหละครับ คงต้องถามตัวเองก่อน
ถ้าพูดถึงในแง่ของการสร้างสรรค์ผลงาน ในความเห็นของผมคือ ทฤษฎีดนตรีแค่ช่วยเราในการตั้งหลักขั้นต้นเท่านั้น จากนั้นที่เหลือเป็นเรื่องของรสนิยม อารมณ์ความรู้สึก ความชอบส่วนบุคคลแล้วครับ อย่างที่ย้ำไปว่าถ้าทุกคนทำตามกฎแบบเดียวกันหมด เพลงก็คงออกมาเหมือน ๆ กันหมด ออกมาซ้ำซากน่าเบื่อไม่มีอะไรน่าติดตาม
เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมเคยเรียนด้วยได้บอกไว้ว่า
“เมื่อศึกษาทฤษฎีจนดีแล้ว ให้ลืมมันทั้งหมดซะ”
555 หวังว่าจะเข้าใจความหมายนี้กันนะครับ
yo23takahashi
บรรณานุกรม;
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. “ทฤษฎี.” เข้าถึงเมื่อ 7 พ.ค., 2564. https://dictionary.orst.go.th.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชันส์, 2561.
วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น, ดนตรีศตวรรษที่ 20 : แนวคิดพื้นฐานทฤษฎีเซต, กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, 2559.
วุฒินันท์ เลาหรัตนเวทย์ และวิบูลย์ ตระกูลฮุ้น, “การวิเคราะห์บทเพลงมาธิลดาโซนาตา ของริคาร์ด วากเนอร์ ตามหลักการวิเคราะห์ของเชงเคอร์,” วารสารดนตรีรังสิต มหาวิทยาลัยรังสิต 12, 1 (2560): 113-128.