ทฤษฎีดนตรีคืออะไร?
ต้องขออธิบายไว้ก่อนว่าทฤษฎีดนตรีนั้นไม่ใช่กฎเกณฑ์ข้อบังคับหรือระเบียบที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดอย่างที่บางคนเข้าใจ
เมื่อเปิดดูคำว่า ‘ทฤษฎี’ ตามความหมายของพจนานุกรมจะเห็นว่า ‘ทฤษฎี’ เป็นสิ่งที่เกิดตามขึ้นมาภายหลังเพื่ออธิบายปรากฏการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างมีระเบียบ ตัวทฤษฎีเองนั้นไม่ได้เป็นระเบียบกฎเกณฑ์ข้อบังคับแต่อย่างใด ดังนั้นทฤษฎีดนตรีก็คือหลักการที่ได้ข้อสรุปมาจากการค้นคว้าทดลอง (การวิเคราะห์) บทประพันธ์เพลงต่าง ๆ ในอดีตที่มีจุดร่วมบางอย่างที่เกิดขึ้นมาอย่างมีระเบียบ (ซึ่งระเบียบในที่นี้ อาจเกิดจากการที่นักประพันธ์ทำตาม ๆ กัน เลียนแบบ หรือเป็นรสนิยมลักษณะดนตรีในยุคนั้น ๆ มีหลายปัจจัย แต่ทั้งหมดก็กลายเป็นระเบียบบางอย่างขึ้นมา) เพื่ออธิบายที่มาที่ไปนั่นเอง
ทฤษฎีดนตรีไม่ได้มีเพียงทฤษฎีเดียว
คำว่า “ทฤษฎีดนตรี” ในบริบททั่วไปที่เราพูดถึงกันอยู่ในปัจจุบัน คือทฤษฎีดนตรีตะวันตกที่เรียกว่า ‘ทฤษฎีตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิม’ หรือภาษาอังกฤษคือ ‘Common practice หรือ Traditional harmony’ โดยเป็นทฤษฎีดนตรีของดนตรีระบบโทนัล (Tonal music) ที่เป็นระบบที่อิงกุญแจเสียง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของบันไดเสียงเมเจอร์-ไมเนอร์ ให้ความสำคัญกับศูนย์กลางเสียง และมีการเคลื่อนที่ของทำนองทั้งแนวนอนและแนวตั้งซึ่งก็คือมีแนวเสียงประสานอันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับดนตรีตะวันตก
ดนตรีโทนัลเป็นระบบดนตรีที่คนยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นนักดนตรีหรือผู้ฟังเพลงทั่วไปคุ้นเคยที่สุด เพราะเพลงป๊อปทั่วไปที่เราฟังกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพลงที่อยู่ในระบบโทนัลเป็นส่วนใหญ่นั่นเอง ตั้งแต่เด็กจนโต หูของคนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับระบบดนตรีประเภทนี้
ดังนั้นทฤษฎีดนตรีในบริบททั่วไปที่พูดถึงกันนี้เป็นเพียงทฤษฎีดนตรีที่เกิดขึ้นมาเพื่ออธิบายดนตรีระบบหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอธิบายดนตรีได้ทุกระบบที่มีอยู่บนโลกใบนี้ (ดนตรีบนโลกใบนี้ไม่ได้มีระบบเดียวนะ) และดนตรีระบบเดียวกันเองก็อาจมีทฤษฎีอื่นที่มีวิธีการอธิบายดนตรีระบบเดียวกันด้วยแนวคิดที่แตกต่างออกไป
ตัวอย่างทฤษฎีดนตรีต่าง ๆ
ตรงนี้ขออนุญาตแสดงแค่ชื่อทฤษฎีต่าง ๆ โดยไม่ลงรายละเอียด ใครสนใจลองนำชื่อไปค้นต่อดูนะครับ
– ทฤษฎีแจ๊ส | Jazz Theory
– ทฤษฎีของแชงเคอร์ | Schenker’s Theory
– ทฤษฎีนีโอรีมันเนียน | Neo-riemannian Theory
– ทฤษฎีเซต | Set Theory
– และอื่น ๆ (ไม่ได้มีแค่นี้)
น่าจะเป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับใครหลาย ๆ คนนะครับ ยิ่งเราศึกษามากเท่าใด รู้จักทฤษฎีดนตรีมากขึ้นเท่าไหร่ก็สามารถวิเคราะห์ดนตรีระบบต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น สามารถเลือกทฤษฎีที่เหมาะสมกับดนตรีระบบนั้น ๆ ได้ครับ
อย่างไรก็ดี แม้ทฤษฎีดนตรีตะวันตกในบริบททั่วไปที่พูดถึงกันนี้จะไม่สามารถนำมาใช้อธิบายดนตรีได้ทุกระบบก็ตาม แต่ก็มีประเด็นหลายอย่างที่เราสามารถศึกษาได้จากทฤษฎีนี้และควรจะต้องศึกษาก่อนจะไปทฤษฎีอื่น ๆ สำหรับใครก็ตามที่ต้องคลุกคลีกับดนตรีที่มีฐานจากดนตรีตะวันตก (ซึ่งหมายรวมถึงเพลงป๊อป เพลงตลาด เพลงต่าง ๆ อันเป็นเพลงร่วมสมัยในปัจจุบันที่เป็นดนตรีระบบโทนัล)
เชื่อว่าความเข้าใจในคำว่า ‘ทฤษฎีดนตรี’ ของทุกคนจะเปิดกว้างมากขึ้นนะครับ 🙂 อยากทิ้งท้ายไว้อีกทีว่า ‘ทฤษฎีไม่ใช่กฎเกณฑ์’ เพราะถ้ามันเป็นกฎเกณฑ์ เพลงบนโลกใบนี้คงจะฟังเหมือน ๆ กันไปหมดแน่ ๆ เบื่อตายเลยครับ 555
ดังนั้น เราต้องแยกแยะกับการสร้างสรรค์ผลงานนะครับ การสร้างสรรค์ผลงานไม่ควรจะมีทฤษฎีมาเป็นตัวปิดกั้นกรอบของเราครับ เราสามารถฉีกกฎต่าง ๆ สร้างความเป็นเอกลักษณ์ของเราเองได้ แต่เพื่อที่จะฉีกกฎต่าง ๆ เราก็ควรต้องศึกษาสิ่งที่มีอยู่ก่อนให้ดีจริงมั้ยครับ และกรณีที่เราเกิดบังเอิญสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนบนโลกใบนี้ได้ขึ้นมาจนคนในอนาคตเริ่มทำตาม ๆ กัน ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดทฤษฎีใหม่มาอธิบายเพลงเราก็ได้นะ 555
ทฤษฎีดนตรีในแง่ของการสร้างสรรค์ผลงานในความเห็นของผมคือ ทฤษฎีแค่ช่วยเราในการตั้งหลักขั้นต้นเท่านั้น จากนั้นที่เหลือเป็นเรื่องของรสนิยม อารมณ์ความรู้สึก และความชอบส่วนบุคคลครับ เวลาเราเอ็นจอยกับดนตรี เราลืมเรื่องทฤษฎีไปก่อนดีกว่า 👍
ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะครับ
ไว้จะทยอยแนะนำเกร็ดอื่น ๆ อีกเรื่อย ๆ ครับ
yo23takahashi
บรรณานุกรม
ณัชชา พันธุ์เจริญ. ทฤษฎีดนตรี. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ: เกศกะรัต, 2554.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์การพิมพ์, 2542.
วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น. การประสานเสียงไดอะทอนิก. กรุงเทพฯ: ธนาเพรส, 2564.
วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น. ทฤษฎีดนตรีตะวันตก. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2563
วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น. ดนตรีศตวรรษที่ 20. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2558.