ต่อเนื่องจาก ‘ตอนที่ 2 : วิเคราะห์บทประพันธ์’ ที่ได้วิเคราะห์ภาพรวมและพื้นผิวบทประพันธ์The Innate วันนี้จะเริ่มเข้าสู่การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับงานประพันธ์ของนักประพันธ์อื่นและดนตรีกระแสต่าง ๆ ในดนตรีศตวรรษที่ 20 โดยเริ่มจากกระแสอิมเพรสชัน
ตอนที่ 3 : เปรียบเทียบกระแสอิมเพรสชัน
พิจารณารายละเอียดบทประพันธ์ The Innate พร้อมเทียบกับงานของนักประพันธ์อื่น
สืบเนื่องจากการวิเคราะห์พื้นผิวบทประพันธ์เพลงThe Innate และผู้เขียนพบว่ามีลักษณะที่รู้สึกได้ถึงดนตรีกระแสอิมเพรสชันและกระแสเอกซเพรสชัน ผู้เขียนจะลําดับการพิจารณาโดยนํางานนักประพันธ์อื่นมาเทียบเพื่อหาลักษณะการประพันธ์ของไอฟส์ว่าเข้าข่ายกระแสดังกล่าวได้หรือไม่
ดนตรีกระแสอิมเพรสชัน
กระแสอิมเพรสชันคือการเคลื่อนไหวทางศิลปะซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางผ่านงานศิลปะด้านจิตกรรมที่เห็นได้ในผลงานของโคลด โมเนต์ (Claude Monet 1840-1926) เอดการ์ เดอร์กา (Edgar Degas, 1834-1917) ปิแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ (Pierre-Auguste Renoir, 1841-1919) และจิตกรอื่น ๆ1 เริ่มปรากฏในทศวรรษที่ 1860 ที่ประเทศฝรั่งเศส โดยเอกลักษณ์คือการให้ความสําคัญกับความรู้สึกและความประทับใจ มากกว่าความเป็นรูปธรรม การคงสีสันสดสว่างจากการไม่ผสมสีเข้า ด้วยกัน พร้อมด้วยสัมผัสพู่กันอันมีเสน่ห์และมีอิสระที่ทําให้ภาพดูงดงามเป็นธรรมชาติเต็มไปด้วยแสงสดสว่าง2 และด้วยการเล่นแสงสีนี้ ภาพวาดกระแสอิมเพรสชันจึงดูคลุมเครือ พร่ามัว ไม่ค่อยชัดเจน
ศิลปะกระแสอิมเพรสชันได้ส่งอิทธิพลสู่ฟากดนตรีด้วย โดยปรากฏช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ในประเทศฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน โดยนักประพันธ์ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ประพันธ์ดนตรีกระแสอิมเพรสชันที่สําคัญคนหนึ่ง คือ โคลด เดอบุสซี (Claude Debussy, 1862-1918)3
ตัวอย่างที่ 1 Danseuses de Delphes โดยเดอบุสซี (ปี ค.ศ.1910) ห้องที่ 25-29

ที่มา : วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น, “ดนตรีอิมเพรสชั่นนิซึ่ม: โคลด เดอบุสซี่,” วารสารดนตรีรังสิต มหาวิทยาลัยรังสิต 5, 2 (2553): 34.
ลักษณะหนึ่งที่พบในบทประพันธ์The Innateที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงตั้งแต่ก่อนหน้านี้คือการซ้ำโน้ตและซ้ำโมทีฟซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่พบได้ในงานประพันธ์ของเดอบุสซี เมื่อดูตัวอย่างที่ 1 จะเห็นได้ว่าเขาซ้ำโน้ตและซ้ำโมทีฟในแนวล่าง ซึ่งเขาใช้วิธีการนี้สร้างศูนย์กลางระดับเสียงบริเวณนั้น ๆ
ตัวอย่างที่ 2 Estampes, “La Soirée dans Grenade” โดยเดอบุสซี (ปี ค.ศ.1903) ห้องที่ 67-71

ที่มา : A. Durand & Fils, Estampes pour le piano, (Paris: Durand & Fils, 1903), 11.
ข้างต้น (ตัวอย่างที่ 2) เป็นอีกผลงานที่เห็นได้ว่าเดอบุสซีใช้วิธีซ้ำโน้ตและซ้ำโมทีฟในแนวล่างสร้างศูนย์กลางระดับเสียง อย่างไรก็ตาม การให้ความสําคัญกับโน้ตตัวใดตัวหนึ่งนี้เป็นปัจจัยสําคัญใน ดนตรีระบบโทแนลิตีจึงแสดงให้เห็นว่าดนตรีของเดอบุสซียังไม่ได้ละทิ้งระบบดนตรีโทนัลไปอย่างสิ้นเชิง เขาเพียงใช้วิธีการใหม่ในการจัดการที่มาของศูนย์กลางระดับเสียง วิบูลย์ ตระกูลฮุ้นกล่าวว่า “เขาหลีกเลี่ยงการใช้วิธีการของเสียงประสานด้วยการลดบทบาทความสําคัญของดอมินันต์และทอนิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดําเนินคอร์ด V-I ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการยืนยันกุญแจเสียง”4 แต่เขา ยังคงใช้ความสัมพันธ์โน้ตคู่ห้าอยู่ในแนวเบส เพื่อสื่อถึงกุญแจเสียงบริเวณนั้น (ตัวอย่างที่ 1 และ 2)
วิธีการนี้เทียบได้กับที่ไอฟส์ใช้ในบทประพันธ์The Innateซึ่งเห็นชัดตั้งแต่ห้องแรก (ตัวอย่างที่ 3) นอกจากนี้เมื่อพิจารณาแนวเบสของโมทีฟที่ซ้ำจะเห็นว่าไอฟส์เองก็ใช้ความสัมพันธ์คู่ห้าเช่นกัน แต่เสียงประสานของไอฟส์ก็ฟังกระด้างกว่าตัวอย่างเดอบุสซีมากซึ่งความต่างอยู่ที่โน้ตในแนวอื่น ๆ
ตัวอย่างที่ 3 โน้ตบทประพันธ์ The Innate หน้า 1 (ห้องที่ 1-5)

ที่มา : Redding, Conn.: C. E. Ives, 114 SONGS BY CHARLES E. IVES, Reprinted of 1st Edition (New York: New Music Edition Corporation, 1932), 87.
อีกลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของเดอบุสซีและพบได้ในบทประพันธ์ของไอฟส์คือ การดําเนินคอร์ดแบบขนาน โดยมักใช้คอร์ดที่ประกอบด้วยโน้ต 5 ตัวขึ้นไป รวมถึงการทบโน้ตต่างช่วงเสียงเพื่อ สร้างความหนาแน่น วิบูลย์ ตระกูลฮุ้นกล่าวว่า “[เดอบุสซี]ให้ความสําคัญกับความรู้สึกที่ได้จากคอร์ดหรือการดําเนินคอร์ดต่าง ๆ มากกว่าการคํานึงถึงบทบาทและหน้าที่ของคอร์ดตามวิธีการใช้เสียงประสานแบบประเพณีดั้งเดิม”5 เขาจึงดําเนินคอร์ดอย่างอิสระ ไม่สนใจการเกลาของเสียงกระด้าง
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากตัวอย่างของเดอบุสซีแล้ว เสียงกระด้างของเขาเกิดจากการดําเนินคอร์ดขนานโดยไม่เกลาเสียงตามวิธีการใช้เสียงประสานแบบดั้งเดิมเสียมากกว่า เมื่อสังเกตโน้ตแนวตั้งชุดแรก (ไม่นับแนวเบส) ของห้องที่ 25 ในตัวอย่างที่ 1 เขาบรรเลงโน้ต 7 ตัวพร้อมกันโดยโน้ตชุดนี้สามารถตีความได้ชัดเจนว่าเป็นคอร์ด B♭/F จากนั้นจึงมุ่งสู่คอร์ด A+ โดยเดินคอร์ดขนานเข้าหา ทําให้เกิดเสียงกระด้าง ในตัวอย่างที่ 2 ก็เช่นเดียวกัน เมื่อสังเกตห้องที่ 67 โน้ตแนวตั้งชุดแรก สามารถตีความได้เป็นคอร์ด F#m จากนั้นจึงมุ่งสู่คอร์ด F# โดยเดินคอร์ดขนานเข้าหา
แม้เดอบุสซีจะใช้คอร์ดอย่างอิสระ แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วคอร์ดของเขายังสามารถตีความได้ว่าเป็นคอร์ดอะไร ในขณะที่คอร์ดของไอฟส์พิจารณาจากโน้ตเสียงประสานได้ยากแม้ไม่ใช่ทั้งหมด และมีความกระด้างตั้งแต่ชุดคอร์ดที่เลือกใช้ อนึ่ง เทคนิคการบรรเลงเสียงแบบกระจุกตัวกันของ ไอฟส์ถูกเรียกว่า Tone cluster โดยหมายถึงการบรรเลงโน้ตที่อยู่ติดกันเป็นแผงทําให้เกิดเสียงที่หยาบกระด้าง อติภพ ภัทรเดชไพศาลกล่าวว่า “ไอฟส์เล่าว่าในวัยเด็ก เขาเริ่มเล่นเปียโนโดยการทุบลิ่ม[คีย์บอร์ด]ด้วยกําปั้น ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นเทคนิคการใช้ Tone cluster ในงานดนตรีของเขา”6
ตัวอย่างที่ 4 Majority โดยไอฟส์ (ปี ค.ศ.1921) ห้องที่ 1-4

ที่มา : Redding, Conn.: C. E. Ives, 114 SONGS BY CHARLES E. IVES, Reprinted of 1st Edition (New York: New Music Edition Corporation, 1932), 1.
เทคนิคนี้เห็นได้ชัดเจนในบทประพันธ์Majority (บริเวณกรอบสี่เหลี่ยมในตัวอย่างที่ 4) สําหรับการใช้ Tone cluster ในบทประพันธ์นี้ ไอฟส์ดูจะไม่คํานึงถึงลักษณะเสียงประสานที่เกิดขึ้นในรูปของคอร์ดเลย เขาคํานึงเพียงต้องการบรรเลงโน้ตที่อยู่ติดกันเพื่อให้เกิดเสียงกระด้าง แต่หากพิจารณาลึกลงไปอีกจะเห็นว่าเขาก็ไม่ได้วางเสียงแบบไม่มีที่มาที่ไปเสียทีเดียว เขายังมีการแบ่งบรรเลงเป็นโน้ตคีย์ขาวล้วนกับโน้ตคีย์ดําล้วน ซึ่งเมื่อเอาไปเทียบกับบทประพันธ์The Innateแล้วแม้จะไม่มีการบรรเลงโน้ตเป็นแผงถึงขนาดนี้ แต่ก็พอจะมีเค้าลางและความสอดคล้องในแง่ของความ ต้องการสร้างเสียงหยาบกระด้างในงานของเขา
ตัวอย่างที่ 5 Voiles โดยเดอบุสซี (ปี ค.ศ.1910) ห้องที่ 10-13

ที่มา : A. Durand & Fils, Preludes pour Piano par Claude Debussy, (Paris: Durand et Cie, 1910), 3.
อีกสิ่งที่พบได้ในบทประพันธ์เดอบุสซีคือการใช้บันไดเสียงที่เลี่ยงการให้ความสําคัญกับโน้ตนําที่มักเกลาเข้าสู่โน้ตทอนิก ไม่ว่าจะเป็นบันไดเสียงโฮลโทน เพนทาทอนิก ออกตะทอนิก เกรเกอเรียนโมด หรือบันไดเสียงประดิษฐ์7 โดยการใช้บันไดเสียงเหล่านี้เป็นวิธีการนึงที่ช่วยเลี่ยงการเกลาตามวิธีการแบบดนตรีดั้งเดิม ซึ่งพบได้ในงานนักประพันธ์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ในตัวอย่างที่ 5 เดอบุสซีใช้บันไดเสียงโฮลโทนในแนวทํานองและใช้ในลักษณะกลุ่มโน้ตด้วย โดยในตัวอย่างเดียวกัน จะเห็นว่าโน้ตขั้นคู่ในแนวบนทั้งหมดเป็นโน้ตสมาชิกบันไดเสียงโฮลโทนเดียวกัน ด้วยการประพันธ์นี้ จึงเป็นอีกปัยจัยที่ทําให้เกิดคอร์ดออกเมนเทดในตัวอย่างที่ 1 และสําหรับบทประพันธ์The Innateก็มีจุดที่ใช้บันไดเสียงโฮลโทนอย่างเห็นได้ชัดในบริเวณแนวบนของเปียโนในห้องที่ 5 (ตัวอย่างที่ 3)
จากเรื่องการใช้บันไดเสียงดังกล่าว เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาโมทีฟในห้องแรก (ตัวอย่างที่ 3) โน้ต G C# D# A ที่ผู้เขียนกล่าวถึงตอนวิเคราะห์พื้นผิวบทประพันธ์และพิจารณาว่าเป็นคู่ทรัยโทน 2 คู่ ทําให้พิจารณาได้ว่าแท้จริงอาจมาจากโน้ตบันไดเสียงโฮลโทน โดยโน้ต C อาจทําหน้าที่เสมือนเป็นโน้ตนําสู่รูปคอร์ดนี้ เพราะอย่างไรก็ตาม ไอฟส์ยังคงให้ความสําคัญกับการเดินทํานองครึ่งเสียงด้วย
ตัวอย่างที่ 6 Prométhée Le Poème Du Feu โดยสเครียบิน (ปี ค.ศ.1911) ห้องที่ 80-86

ที่มา : R.M.V., A. Scriabine Prométhée Le Poème Du Feu, (Berlin: Editions Russes de Musique, 1911), 10.
ข้างต้นคืองานประพันธ์ของอเล็กซานเดอร์ สเครียบิน (Alexander Scriabin, 1871-1915) (ตัวอย่างที่ 6) นักประพันธ์ชาวรัสเซียซึ่งถูกนับเป็นนักประพันธ์ในกระแสอิมเพรสชันเช่นกัน ห้องที่ 86 เขาใช้รูปคอร์ดที่เรียกว่า Mystic chord ซึ่งเป็นเฮกซะคอร์ดอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของเขา กล่าวกันว่ารูปคอร์ดนี้มาจากบันไดเสียงออกตะทอนิกหรือโฮลโทนที่เพิ่ม Odd note (โน้ตพิเศษที่ ไม่ได้อยู่ในสมาชิก) 1 ตัว8 ตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่าการประดิษฐ์รูปคอร์ดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ในดนตรีศตวรรษที่ 20 ซึ่งยังมีนักประพันธ์อื่น ๆ ที่มีรูปคอร์ดเฉพาะตัวอีกเช่นกัน
จากตัวอย่างที่ผ่านมาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า การซ้ำโน้ตและซ้ำโมทีฟ การใช้คอร์ดอย่างอิสระ การดําเนินคอร์ดขนาน ลักษณะการดําเนินจังหวะของไอฟส์ในบทประพันธ์The Innate มีส่วนที่ คล้ายคลึงกับวิธีการประพันธ์ของนักดนตรีกระแสอิมเพรสชัน แต่ทั้งนี้ การวางแนวประสานที่ดูอิสระยิ่งกว่าและซับซ้อนของเขา ประกอบกับการทวีความเข้มข้นในบทประพันธ์ ก็ดูเป็นการแสดงออกถึงอารมณ์อันรุนแรงที่ออกมาจากข้างใน ดังนั้น จะเข้าข่ายดนตรีกระแสเอกซเพรสชันด้วยได้หรือไม่?
.
.
.
ตอนต่อไปจะเป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับดนตรีกระแสเอกซเพรสชันนะครับ
ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะครับ!
yo23takahashi
- Nicole A. Matthys, “Impressionism: A comparison of the stylistic characteristics of the movement in music and the visual arts,” (BA(Hons) diss., Baylor University, 2020), iv.
- Kyoko Nakano, 印象派で「時代」を読む, 4th edition (Tokyo: NHK Publishing Shinsho, 2015), chap. 7, Kindle.
- วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น, ดนตรีศตวรรษที่ 20, (กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2558), 79.
- เรื่องเดียวกัน, 75.
- เรื่องเดียวกัน, 74.
- อติภพ ภัทรเดชไพศาล, เสียงของศตวรรษ: สังเขปแนวคิดและเทคนิคของ 10 นักแต่งเพลงสมัยใหม่, (นนทบุรี: ภาพพิมพ์, 2560), 26.
- วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น, ดนตรีศตวรรษที่ 20, (กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2558), 76.
- Richard Bass, “Model of Octatonic and Whole-Tone Interaction: George Crumb and his predecessors,” Journal of Music Theory 38, 2 (1994): 156.
อ่าน ‘ตอนที่ 4 : เปรียบเทียบกระแสเอกซเพรสชัน และสรุปการวิเคราะห์’ ได้ที่นี่
บรรณานุกรม (ตั้งแต่ตอนที่ 1-4);
วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น. ดนตรีศตวรรษที่ 20. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2558.
____________. ดนตรีศตวรรษที่ 20 : แนวคิดพื้นฐานทฤษฎีเซต. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2559.
____________. “ดนตรีอิมเพรสชั่นนิซึ่ม: โคลด เดอบุสซี่.” วารสารดนตรีรังสิต มหาวิทยาลัยรังสิต 5, 2 (2553): 30-37.
สํานักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมศัพท์ดนตรีสากล ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: ศรีเมืองการพิมพ์, 2561.
อติภพ ภัทรเดชไพศาล. เสียงของศตวรรษ : สังเขปแนวคิดและเทคนิคของ 10 นักแต่งเพลงสมัยใหม่. นนทบุรี: ภาพพิมพ์, 2560.
A. Durand & Fils. Estampes pour le piano. Paris: Durand & Fils., 1903.
____________. Preludes pour Piano par Claude Debussy. Paris: Durand et Cie, 1910. Bass, Richard. “Model of Octatonic and Whole-Tone Interaction: George Crumb and his predecessors.” Journal of Music Theory 38, 2 (1994): 155-186.
Matthys, Nicole A. “Impressionism: A comparison of the stylistic characteristics of the movement in music and the visual arts.” BA(Hons) diss., Baylor University, 2020.
Miyashita, Makoto. 20 世紀音楽: クラシックの運命. Tokyo: Kobunsha, 2006. Kindle.
Nakano, Kyoko. 印象派で「時代」を読む. 4th edition. Tokyo: NHK Publishing Shinsho, 2015. Kindle.
Redding, Conn.: C. E. Ives. 114 SONGS BY CHARLES E. IVES. Reprinted of 1st Edition. New York: New Music Edition Corporation, 1932.
R.M.V. A. Scriabine Prométhée Le Poème Du Feu. Berlin: Editions Russes de Musique, 1911.
Secor, Tyler Matthew. “Mystic chord and light transformations in Alexander Scriabin’s Prometheus.” Master’s Thesis, University of Oregon, 2013.
Stanitsas, Margaux. I like art expressionism. Texas: Xist Publishing, 2018. Kindle.
2 thoughts on “บทวิเคราะห์บทประพันธ์ “The Innate” ของชาลส์ ไอฟส์ ตอนที่ 3 : เปรียบเทียบกระแสอิมเพรสชัน”
Comments are closed.