Skip to content

yo23musiceducator

by yo23takahashi

Menu
  • Home
  • About
  • Contents
    • Art of Voicing | ศิลปะการสร้างแนวเสียงประสาน
    • ทฤษฎีดนตรีตะวันตก (ฉบับพกพา)
    • เกร็ดการแต่งโซโล่ด้วยแนวคิดดนตรีแจ๊ส
    • Jazz Scale Series | บันไดเสียงดนตรีแจ๊ส (ฉบับกะทัดรัด)
    • General Article | บทความอ่านเล่น
    • Artist Overview | ประวัติสังเขปศิลปิน
    • Book Review | แนะนำหนังสือ
  • Free PDF
    • Etude & Practice
    • Jazz Lick for Practice
    • Jazz Intro & Ending
    • Transcription
  • Just Play-Along
  • YouTube
    • YouTube
    • รวมสารบัญ YouTube Content
      • สารบัญ – ทฤษฎีดนตรีฉบับกะทัดรัด
      • สารบัญ – ศิลปะการสร้างแนวเสียงประสาน
      • สารบัญ – แชร์ประสบการณ์งานวิทยานิพนธ์ดนตรี
      • สารบัญ – การจัดการงานแสดงดนตรีแจ๊ส
      • สารบัญ – สนุกกับจังหวะ
      • สารบัญ – บันไดไหน …บันไดเสียง
  • Events
  • Article
Menu

บทวิเคราะห์บทประพันธ์ “The Innate” ของชาลส์ ไอฟส์ตอนที่ 2 : วิเคราะห์บทประพันธ์

Posted on 1 August 202321 July 2025 by yo23takahashi

ต่อเนื่องจาก ‘ตอนที่ 1 : บทนำ’ ที่ได้เกริ่นไว้เกี่ยวกับบทประพันธ์ The Innate และผู้ประพันธ์ ชาลส์ ไอฟส์ วันนี้จะมาเข้าสู่การวิเคราะห์บทประพันธ์โดยจะเป็นการวิเคราะห์ภาพรวมเบื้องต้น ตามด้วยการวิเคราะห์พื้นผิวบทประพันธ์ตามลำดับนะครับ

บทวิเคราะห์บทประพันธ์ “The Innate” ของชาลส์ ไอฟส์ ตอนที่ 1 : บทนำ

ตอนที่ 2 : วิเคราะห์บทประพันธ์

วิเคราะห์บทประพันธ์The Innate

บทประพันธ์นี้เป็นบทประพันธ์ที่มีเพียงนักร้องกับเปียโนโดยไม่มีการกํากับกุญแจเสียง เมื่อฟังแล้วแม้ไม่ได้ยินศูนย์กลางเสียงชัดเจนแต่ก็ยังคงรู้สึกได้ จึงกล่าวได้ในเบื้องต้นว่าบทประพันธ์นี้ไม่ได้ไร้ ศูนย์กลางเสียงโดยสิ้นเชิง แต่ยังคงให้ความสําคัญกับโน้ตหนึ่งๆ แล้วนําแนวคิดที่ต่างจากแบบแผนดั้งเดิมมาใช้ในการทําให้ศูนย์กลางเสียงคลุมเครือ เป็นลักษณะดนตรีโพสต์โทนัล1

ในส่วนของจังหวะนั้นก็ไม่มีการกํากับอัตราจังหวะ มีเพียงแค่การระบุความเร็วของบทประพันธ์ว่า Slowly (ช้า ๆ) เท่านั้น อีกทั้งตําแหน่งของเส้นกั้นห้องก็ไม่แน่นอน ดูจากภาพรวมแล้วดูเหมือนจะแบ่งตามวลีหรือประโยคของเนื้อร้องเสียมากกว่า การดําเนินบทประพันธ์จึงดําเนินไปในลักษณะบรรเลงเปียโนคลอไปกับทํานองนักร้อง แต่ทั้งนี้ ทํานองร้องจะมีเสียงประสานของเปียโนมารับในแนวตั้งเกือบจะทุกจุด ในการบรรเลงจริงนั้นจึงอาจต้องดูสีหน้าของกันและกันเพื่อให้สัญญาณ

ตัวอย่างที่ 1 โน้ตบทประพันธ์ The Innate หน้า 1 (ห้องที่ 1-5)

ที่มา : Redding, Conn.: C. E. Ives, 114 SONGS BY CHARLES E. IVES, Reprinted of 1st Edition (New York: New Music Edition Corporation, 1932), 87.

ตัวอย่างที่ 2 โน้ตบทประพันธ์ The Innate หน้า 2 (ห้องที่ 5 ต่อ)

ที่มา : Redding, Conn.: C. E. Ives, 114 SONGS BY CHARLES E. IVES, Reprinted of 1st Edition (New York: New Music Edition Corporation, 1932), 88.

การวิเคราะห์ต่อจากนี้ ผู้เขียนจะพิจารณารายละเอียดเพื่อค้นหาว่บทประพันธ์นี้สามารถเข้าข่ายหรือเทียบได้กับลักษณะดนตรีประเภทใดในดนตรีศตวรรษที่ 20 ที่มีอยู่หลายกระแส โดยจะเริ่ม วิเคราะห์จากพื้นผิวบทประพันธ์ก่อน จากนั้นจะพิจารณาวิธีการประพันธ์ที่ไอฟส์ใช้เทียบกับงานของนักประพันธ์อื่นตามลําดับ

วิเคราะห์พื้นผิวบทประพันธ์The Innate

เมื่อพิจารณาพื้นผิวดนตรีของบทประพันธ์นี้ จะสังเกตได้ว่าในช่วงต้นมีการซ้ำโน้ตหลักเดิมและซ้ำโมทีฟที่มือซ้ายของเปียโน และเมื่อนักร้องเริ่มร้องทํานองก็ยังคงซ้ำโน้ตเดิมและซ้ำโมทีฟเดิมนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่งจนถึงช่วงก่อนจะจบห้องที่ 2 เล็กน้อย จะสังเกตได้ว่าสีสันบทประพันธ์เริ่มมีความ เปลี่ยนแปลง โน้ตหลักเดิมและโมทีฟเดิมหายไป (ตัวอย่างที่ 1)

โน้ตหลักในช่วงต้นตั้งแต่เริ่มบทเพลงคือโน้ต B C (โน้ตเขบ็ตหนึ่งชั้น) และ G C# D# A (โน้ตตัวขาว) ที่ถูกบรรเลงด้วยโมทีฟเดิมซ้ำในแนวล่าง ซึ่งวิธีการซ้ำโน้ตหลักหรือโมทีฟนี้เป็นวิธีการที่คล้ายกับงานประพันธ์ของเดอบุสซีซึ่งเป็นนักประพันธ์กระแสอิมเพรสชัน เขาใช้วิธีการนี้สร้างศูนย์กลาง ระดับเสียงในบริเวณนั้นๆ โดยการให้ความสําคัญโน้ตใดโน้ตหนึ่งนี้เป็นปัจจัยสําคัญของดนตรีระบบโทแนลิตี2 สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวตอนต้นว่าบทประพันธ์นี้ไม่ได้ไร้ศูนย์กลางเสียงโดยสิ้นเชิง

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าในช่วงต้นนี้ไอฟส์กําหนดให้โน้ตเหล่านี้ทําหน้าที่เป็นศูนย์กลางระดับเสียง โดยในแง่ของสีสันเสียงนั้น เมื่อดูผิวเผินแล้วอาจมองได้ว่าโน้ตที่สําคัญที่สุดคือโน้ต G C# D# A (คู่ทรัยโทน 2 คู่) ที่ลงในจังหวะหนักเสมอในลักษณะการบรรเลงคล้ายบล็อกคอร์ด3 โดย B และ C เป็น เพียงโน้ตนําสู่คอร์ดดังกล่าว แต่หากฟังบทประพันธ์ประกอบพร้อมพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะรู้สึกได้ว่าไอฟส์ให้ความสําคัญกับสีสันของการเดินทํานองครึ่งเสียงด้วย อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าไอฟส์ให้ ความสําคัญกับคุณลักษณะเสียงกระด้างเป็นอย่างมาก

จากนั้นสีสันบทประพันธ์เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ช่วงท้ายของห้องที่ 2 เนื่องจากโน้ตหลักและโมทีฟเดิมหายไป ศูนย์กลางระดับเสียงเดิมก็มีความเปลี่ยนแปลง แต่จะเห็นได้ว่าสีสันอีกข้อที่ไอฟส์ให้ความสําคัญในบทประพันธ์นี้ยังคงปรากฏต่อ เพียงแต่ย้ายไปอยู่ในทํานองนักร้อง นั่นคือ การย้ำการเดินทํานองครึ่งเสียง ซึ่งมีสองจุดคือ F – F# และ A# – B ในช่วงท้ายห้องที่ 2 ถึงห้องที่ 4

สีสันบทประพันธ์มีความเปลี่ยนแปลงชัดเจนอีกครั้งเมื่อเข้าห้องที่ 5 โดยเปียโนเริ่มแสดงการเคลื่อนที่แบบลงจังหวะหนักในแนวตั้งอย่างชัดเจน และเคลื่อนที่แบบ Contrary motion (การ เคลื่อนตรงข้าม) ระหว่างมือซ้ายและมือขวา ชีพจรจังหวะเริ่มชัดเจนขึ้นในบริเวณนี้ ส่วนศูนย์กลาง เสียงถูกคลุมเครือมากขึ้นจากเดิมเพราะไม่มีโน้ตสําคัญที่เห็นเด่นชัดดังห้องก่อนหน้า แม้มีโน้ตในทํานองนักร้องที่มีการซ้ำโน้ตเดิมอยู่บ้างทุกครั้งที่จบวลีแต่ก็เป็นเพียงแค่ชั่วขณะหนึ่ง ณ บริเวณนั้น ๆ

จากนั้นบทประพันธ์เริ่มทวีความเข้มข้นขึ้นเหมือนเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรง โดยค่อยๆ ไล่ระดับเสียงจาก mezzo-forte จนกระทั่ง forte (ตัวอย่างที่ 2) และมีโมทีฟที่ถูกพัฒนา จากโมทีฟเดิมในห้องที่ 1 ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนด้วยศูนย์กลางระดับเสียงใหม่โดยมีโน้ต D# E (โน้ตเขบ็ตหนึ่งชั้น) เป็นโน้ตที่เดินทํานองครึ่งเสียงนําไปโน้ต B และพบโมทีฟที่มีลักษณะตรงกับ ห้องที่ 1 ชัดเจนอีกครั้งด้วยศูนย์กลางระดับเสียงใหม่ก่อนจบบทประพันธ์ โดยจะเป็นโน้ต A B♭ ที่ เป็นโน้ตนํา และมีโน้ต E# (F) B C# G (คู่ทรัยโทน 2 คู่) ที่มีลักษณะคล้ายบล็อกคอร์ด

สรุปวิธีการประพันธ์ของไอฟส์จากการพิจารณาพื้นผิวบทประพันธ์ The Innate

เมื่อดูภาพรวมแล้วบทประพันธ์นี้จะเน้นการบรรเลงโน้ตหลายตัวพร้อมกันในแนวตั้งเป็นอย่างมาก ไอฟส์ใช้วิธีกําหนดศูนย์กลางระดับเสียงด้วยการซ้ำชุดโมทีฟชุดหนึ่ง และคลุมเครือศูนย์กลางเสียงด้วยการใช้คู่ทรัยโทน 2 คู่ที่ไม่มีความสัมพันธ์กันเมื่อคิดในเชิงทฤษฎีดนตรีแบบดั้งเดิมมาบรรเลงพร้อมกัน และโมทีฟชุดเดียวกันนี้ก็เป็นตัวกําหนดลักษณะจังหวะโดยรวมของบทประพันธ์ด้วย ส่วนทํานองในแนวนักร้องก็จะเน้นการเดินทํานองที่เดินชิดติดกันและเดินครึ่งเสียงเป็นอย่างมาก

ลักษณะดนตรีที่ยังคงอยู่ในกรอบของดนตรีโทนัลแต่พยายามหลีกเลี่ยงระบบตามแบบแผนดั้งเดิมนี้ ทําให้เห็นว่าบทประพันธ์นี้มีลักษณะดนตรีแบบโพสต์โทนัล การซ้ำโน้ตหรือซ้ำโมทีฟชวนให้รู้สึกว่าบทประพันธ์นี้มีลักษณะของดนตรีกระแสอิมเพลสชันดังเช่นเดอบุสซีที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ การใช้เสียงประสานที่ซับซ้อน ใช้เสียงกระด้างอย่างอิสระโดยไม่คํานึงถึงการเกลาของเสียงกระด้าง การแสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรง ก็ชวนให้รู้สึกถึงลักษณะดนตรีกระแสเอกซเพรสชัน

.
.
.

ตอนต่อไปจะเริ่มเข้าสู่การวิเคราะห์เปรียบเทียบกับงานประพันธ์ของนักประพันธ์อื่น
และดนตรีกระแสต่าง ๆ ในดนตรีศตวรรษที่ 20 นะครับ

ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะครับ!

yo23takahashi


  1. ดนตรีโพสต์โทนัล คือ ระบบดนตรีที่ยังคงอยู่ในกรอบของดนตรีโทนัล มีโน้ตศูนย์กลางที่เรียกว่า “ศูนย์กลางระดับเสียง” แต่ที่มาของ ศูนย์กลางระดับเสียงไม่เป็นไปตามวิธีการตามแบบแผนดั้งเดิมอย่างดนตรีระบบโทแนลิตี .
  2. วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น, ดนตรีศตวรรษที่ 20, (กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2558), 77.
  3. บล็อกคอร์ด (หรือ บล็อกฮาโมนี่) คือ ลักษณะการบรรเลงเสียงประสานด้วยโน้ตในคอร์ดพร้อมกันเป็นแท่งในแนวตั้ง

อ่าน ‘ตอนที่ 3 : เปรียบเทียบกระแสอิมเพรสชัน’ ได้ที่นี่

บทวิเคราะห์บทประพันธ์ “The Innate” ของชาลส์ ไอฟส์ ตอนที่ 3 : เปรียบเทียบกระแสอิมเพรสชัน

บรรณานุกรม (ตั้งแต่ตอนที่ 1-4);
วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น. ดนตรีศตวรรษที่ 20. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2558.

____________. ดนตรีศตวรรษที่ 20 : แนวคิดพื้นฐานทฤษฎีเซต. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2559.

____________. “ดนตรีอิมเพรสชั่นนิซึ่ม: โคลด เดอบุสซี่.” วารสารดนตรีรังสิต มหาวิทยาลัยรังสิต 5, 2 (2553): 30-37.
สํานักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมศัพท์ดนตรีสากล ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: ศรีเมืองการพิมพ์, 2561.

อติภพ ภัทรเดชไพศาล. เสียงของศตวรรษ : สังเขปแนวคิดและเทคนิคของ 10 นักแต่งเพลงสมัยใหม่. นนทบุรี: ภาพพิมพ์, 2560.

A. Durand & Fils. Estampes pour le piano. Paris: Durand & Fils., 1903.

____________. Preludes pour Piano par Claude Debussy. Paris: Durand et Cie, 1910. Bass, Richard. “Model of Octatonic and Whole-Tone Interaction: George Crumb and his predecessors.” Journal of Music Theory 38, 2 (1994): 155-186.

Matthys, Nicole A. “Impressionism: A comparison of the stylistic characteristics of the movement in music and the visual arts.” BA(Hons) diss., Baylor University, 2020.

Miyashita, Makoto. 20 世紀音楽: クラシックの運命. Tokyo: Kobunsha, 2006. Kindle.

Nakano, Kyoko. 印象派で「時代」を読む. 4th edition. Tokyo: NHK Publishing Shinsho, 2015. Kindle.

Redding, Conn.: C. E. Ives. 114 SONGS BY CHARLES E. IVES. Reprinted of 1st Edition. New York: New Music Edition Corporation, 1932.

R.M.V. A. Scriabine Prométhée Le Poème Du Feu. Berlin: Editions Russes de Musique, 1911.

Secor, Tyler Matthew. “Mystic chord and light transformations in Alexander Scriabin’s Prometheus.” Master’s Thesis, University of Oregon, 2013.

Stanitsas, Margaux. I like art expressionism. Texas: Xist Publishing, 2018. Kindle.

2 thoughts on “บทวิเคราะห์บทประพันธ์ “The Innate” ของชาลส์ ไอฟส์ตอนที่ 2 : วิเคราะห์บทประพันธ์”

  1. Pingback: บทวิเคราะห์บทประพันธ์ “The Innate” ของชาลส์ ไอฟส์ ตอนที่ 1 : บทนำ – Music Insight
  2. Pingback: บทวิเคราะห์บทประพันธ์ “The Innate” ของชาลส์ ไอฟส์ ตอนที่ 3 : เปรียบเทียบกระแสอิมเพรสชัน – Music Insight

Comments are closed.

Recent Posts

  • บทความวิจัย – บทประพันธ์เพลง นิราศโคลงสี่ สำหรับวงดนตรีแจ๊ส
  • 【แชร์ประสบการณ์งานวิทยานิพนธ์ดนตรี】 Ep.2 เลือกหัวข้อวิทยานิพนธ์ยังไงดี PART 1
  • 【บันไดไหน …บันไดเสียง】 Ep.2 บันไดเสียงคืออะไร? มันมายังไง…? ใครสร้าง?
  • 【บันไดไหน …บันไดเสียง】 Ep.1 ทำไมดนตรีตะวันตกถึงมี 12 เสียง? เพราะอะไร? …ใครกำหนด?
  • 【ทฤษฎีดนตรีฉบับกะทัดรัด สำหรับนักดนตรีป๊อป & แจ๊ส】 Ep.5 เครื่องหมายแปลงเสียง PART 1 และโน้ตภายในช่วงคู่แปด

Categories

  • >>> Click

Archives

November 2025
M T W T F S S
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
« Jul    

Site Owner
yo23takahashi
yo23takahashi.com

©2025 yo23musiceducator | Design: Newspaperly WordPress Theme